สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
ก่อนครองราชย์
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า มีพระราชบิดาเป็นเชื้อสาย
ราชวงศ์พระร่วง ส่วนพระราชมารดาเป็นเชื้อสายราชวงศ์
สมเด็จพระไชยราชาธิราช[1] สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า พระราชสมภพในปี พ.ศ. 2057 ต่อมาได้รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น
ขุนพิเรนทรเทพ ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจขวา
[2]
เมื่อ
ขุนวรวงศาธิราชและ
นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์สมคบกันสำเร็จโทษ
พระยอดฟ้าพระราชโอรสของแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เองแล้ว ขุนพิเรนทรเทพได้ร่วมกับ
ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา (ในราชการ) และ
หลวงศรียศ ปรึกษากันว่าแผ่นดินเป็นทุรยศ ควรจับขุนวรวงศาธิราชไปประหารชีวิตเสีย แล้วให้
พระเทียรราชาซึ่งทรงผนวชอยู่
วัดราชประดิษฐานเป็น
พระเจ้าแผ่นดินแทน จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระเทียรราชา กราบทูลแผนการให้ทรงทราบ
ก็ทรงเห็นด้วย ฝ่ายขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศ
เห็นว่าควรเสี่ยงเทียนว่า
พระเทียรราชามีพระบารมีมากกว่าสมเด็จพระวรวงศาธิราชเจ้าหรือไม่
ขุนพิเรนทรเทพไม่เห็นชอบ แต่พระเทียรราชาทรงเห็นด้วย
ค่ำวันนั้นทั้งหมดจึงไปยังพระอุโบสถ
วัดป่าแก้วเพื่อทำพิธีเสี่ยงทาย
[3]
เมื่อจุดเทียนแล้วปรากฏว่าเทียนของขุนวรวงศาธิราชยาวกว่า
ขุนพิเรนทรเทพจึงโกรธว่าห้ามแล้ว ยังขืนทำอีก แล้วคายชานหมากทิ้ง
บังเอิญไปถูกเทียนขุนวรวงศาธิราชดับลง ทั้ง 5 คนจึงยินดีอย่างยิ่ง
[4] ขณะนั้นมีพระภิกษุลึกลับเข้ามาในอุโบสถ ให้พรว่าที่ปรารถนานั้นจะสำเร็จแน่ ออกจากอุโบสถก็หายตัวไป
[5]
ต่อมากรมการเมืองลพบุรีแจ้งราชสำนักว่าพบช้างมงคล (ช้างเผือก)
ในเช้าตรู่วันต่อมาขุนวรวงศาธิราช แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระราชโอรส
กับ
พระศรีสิน
จึงทรงเสด็จทางชลมาส พระราชดำเนินไปทางคลองสระบัว
เพื่อไปทรงคล้องช้างเผือก ขุนพิเรนทรเทพกับพวกได้จัดกองเรือออกสกัด
เข้าจับขุนวรวงศาธิราช แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และพระราชโอรส
ฆ่าเสียทั้งหมด เอาศพไปเสียบประจานไว้ ณ วัดแร้ง เว้นชีวิตไว้แต่พระศรีสิน
[5] แล้วเข้ายึดพระราชวัง ให้ส่งเรือพระที่นั่งชัยสุพรรณหงส์ไปรับพระเทียรราชาซึ่งลาสิกขาบทแล้วมาราชาภิเษกเป็น
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ครองกรุงศรีอยุธยาแทน
[6]
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงตั้งขุนพิเรนทรเทพเป็น
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ครองเมืองพิษณุโลก ตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระสวัสดิราชธิดาเป็น
พระวิสุทธิกษัตรีย์ ให้เป็นพระอัครมเหสี และพระราชทาน
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค มีอำนาจตั้งตำแหน่งบรรดาศักดิ์ฝ่ายทหารพลเรือนในเมืองพิษณุโลก และเรือชัยพื้นดำพื้นแดงคู่หนึ่ง
[1] เมื่อประทับ ณ เมืองพิษณุโลกนั้น พระวิสุทธิกษัตรีย์ได้มีประสูติกาลพระราชโอรสธิดาตามลำดับคือ
พระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ
สมเด็จพระเอกาทศรถ[2]
ถึงปี พ.ศ. 2106
พระเจ้าบุเรงนองยก
ทัพมาตีพิษณุโลก
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเห็นว่าครั้งนี้ทัพหงสาวดีมากจนเหลือกำลังจะต้าน
ทานได้ ในวันอาทิตย์ แรม 5 ค่ำ เดือน 2 จึงทรงยอมแพ้
พระเจ้าบุเรงนองจึงรับสั่งให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาจัดทัพไปตีกรุงศรีอยุธยา
ร่วมกับพระองค์ สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็จัดพล 30,000
ไปกับทัพพระเจ้าบุเรงนอง จนกระทั่ง
เสียกรุงในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองจึงถอด
สมเด็จพระมหินทราธิราชจากราชสมบัติ แล้วราชาภิเษกสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าให้ครองกรุงศรีอยุธยาแทน มีราชทินนามว่า
สมเด็จ
พระเจ้าสรรเพชญวงศ์กุรสุริโคดม บรมราชาธิราชราเมศ ปริเวทธรรมิกราช เดโชชัย
พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมิทรเทพสมมติราชบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว[7]
หลังครองราชย์
ในรัชสมัยของพระองค์
สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พระยาละแวก)
ได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาถึง 2 ครั้ง แต่ทรงป้องกันพระนครไว้ได้
และได้โปรดให้ขุดขยายคูเมืองด้านตะวันออกของเกาะเมืองให้กว้างขึ้น
สร้างป้อมมหาชัย และสร้าง
พระราชวังจันทรเกษมให้เป็นที่ประทับของพระมหาอุปราช (สมเด็จพระนเรศวร)
[8]
สมเด็จพระมหาธรรมราชาประชวรและเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2133
[8] สิริพระชนมายุ 76 พรรษา ครองราชย์ได้ 22 ปี
[9]